Video is the future of content marketing หรือ Video is King สองประโยคนี้คงเคยได้ยินกันมาเยอะและจากหลาย ๆ ที่แล้ว ถ้าเป็นในด้านการบริโภค content ของ users คงจะรู้สึกว่า video อย่างพวก review ท่องเที่ยว ทำอาหาร cast game ยังคงเลือก YouTube อันดับแรก ๆ แต่สำหรับ creator และ advertiser แล้วการ upload content ของตัวเองขึ้นบนสอง platform ยักษ์ใหญ่นั้นมีความแตกต่างกันมากทีเดียว แล้วแบบไหนจะเหมาะสมกว่ากัน?
ในกลุ่ม users ช่วงอายุ 18 ปีใช้เวลาบน Social media ต่าง ๆ มากถึง 7 ชั่วโมงกว่า ๆ หรือเกือบเท่ากับเวลาทำงานหนึ่งวันของพนักงานออฟฟิศเลย และ 7 ชั่วโมงนั้น เฉพาะ YouTube ก็กินไป 2 ชั่วโมงแล้ว แต่ขณะเดียวกันแค่จำนวนระยะเวลาที่ใช้อยู่บนแต่ละ social media เท่านั้นจะใช้ตัดสินไม่ได้ว่าควร upload content ขึ้น platform ไหนดี
แต่ในวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา Facebook ประกาศเปิด platform ใหม่ “Facebook Watch” ซึ่งเป็น platform ที่ทำมาเพื่อสู้กับ YouTube เน้น ๆ แต่ทีนี้ อะไรทำให้ Facebook Watch น่าจับตามองและจะสู้ YouTube ไหวมั้ย?
สิ่งที่จะทำให้ Facebook Watch ตามทัน YouTube ได้คือ
- ในขณะที่ YouTube นั้นมีจำนวน video view มากที่สุดในโลกตอนนี้แต่ Facebook เองก็กำลังไล่ตามขึ้นมาติด ๆ โดยที่ view time ของ YouTube เพิ่มขึ้น 60% ปีต่อปี แต่ view time ของ Facebook นั้นอยู่ที่ 100 ล้านชั่วโมงต่อวัน และ video view อยู่ที่ 4 – 8 พันล้านต่อวันในช่วงเวลา 6 เดือน (เมษายน – ตุลาคม 2015)
- Facebook มีจำนวน active users มากถึง 2 พันล้าน users ต่อเดือน ในขณะเดียวกัน YouTube มีแค่ 1.5 พันล้าน users ต่อเดือน นั่นหมายถึง Data จำนวนมหาศาลในแต่ละวันที่ถูกแบ่งปัน พูดถึง และมันไม่ใช่แค่ Data ทั่วไปเท่านั้น แต่มันรวมถึงข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ของ users ด้วย ซึ่งในจุดนี้ทำให้ Facebook ได้เปรียบกว่า YouTube อย่างมาก
แล้วอะไรที่จะทำให้ Facebook Watch ขึ้นเป็นที่ 1 ได้?
- แม้ว่าการลงเม็ดเงินกับ Facebook นั้นมีแต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทาง Facebook เองก็เพิ่มช่องทางการทำเงินแทบจะตลอดเวลา และเป็นไปได้ว่า YouTube กำลังตามจุดนี้ไม่ทันมากขึ้น แม้ว่า YouTube จะมีระบบรองรับ Creator มาก่อนนานแล้วก็ตาม
- เพื่อดึงดูดให้เหล่า Advertiser กับ Creator หันมาอยู่กับ Facebook มากขึ้น จึงได้สร้าง Creator app สำหรับพวกเขา และ Facebook เองเลือกใช้วิธีการ share revenue จาก advertising ให้กับเหล่า creator ถึง 55% และที่เหลือกลับไปหา Facebook ซึ่งเป็นวิธีการเหมือนกับที่ YouTube ใช้ ทำให้การรองรับนี้เป็นที่น่าสนใจสำหรับเหล่า creator เปรียบเหมือนเกาะใหม่ให้นักสำรวจได้มาสำรวจใช้กัน
- ส่วนสุดท้ายที่สำคัญมาก ๆ คือเหล่า Users หรือพวก viewers เพราะการที่จะให้ Advertiser กับ Creator มาใช้ Facebook และลงเม็ดเงิน ทาง Facebook จำเป็นต้องมี users เหล่านี้ไว้ด้วยระบบ algorithm ที่ทำให้ user แต่ละคนสามารถเลือกดู content ที่ตัวเองสนใจ (ในปี 2016 user 1 คนใช้เวลาอยู่กับ application ต่าง ๆ ของ Facebook อย่างน้อย 50 นาทีต่อวัน ไม่รวม Whatsapp)
ที่มา: newsroom.fb
ที่มา: wirebuzz
ที่มา: sproutsocial